ว่าด้วยนิทานเรื่องเต่าชรากับความสำเร็จ



ตอนสมัยผมยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ผมชอบงานเขียนของนักเขียนท่านหนึ่ง ชื่อ มิฆาเอล เอ็นเด้หลายคนคงรู้จักหนังสือที่แต่งโดยผู้ชายคนนี้กันดีในเรื่อง “โมโม่” และ “จินตนาการไม่รู้จบ”  แต่ก็มีคนนำนิทานของเค้ามารวมเล่ม ผมก็จำชื่อไม่ได้แล้ว  55 ผมว่ามันเหมือนเรื่องสั้นของผู้ใหญ่มากกว่าจะเป็นนิทาน  มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมจำได้ดี  ทั้งๆ ที่ตอนนั้นอ่านก็เข้าใจในระดับหนึ่ง เพราะภาษาที่แปลออกมายืดยาวมาก แต่ผมไม่เข้าใจสารที่แท้จริง ที่ผู้เขียนต้องการบอก แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วครับ ผมจึงอยากนำนิทานเรื่องนี้มาเล่าในแบบของผม(ส่วนหนึ่งเพราะผมจำได้แต่ใจความสำคัญ รายละเอียดผมลืมไปเกือบหมดแล้ว)

ใครที่กำลังท้อ ผมอยากให้อ่านนิทานเรื่องนี้ครับ

“กาลครั้งหนึ่ง  พระราชาสิงโตที่1 ตั้งใจจัดงานเลี้ยงวันเกิดในปีนี้อย่างยิ่งใหญ่อลังการ  สัตว์ทั้งปวงเมื่อรู้ข่าวต่างก็อยากไปร่วมงานนี้กันทั้งนั้น  รวมถึงเต่าชราตัวหนึ่งด้วย  มันอาศัยอยู่ที่ขอบชายแดนของอาณาจักร  เมื่อเพื่อนๆ สัตว์ของมันรู้ว่าพ่อเฒ่าเต่าจะไปร่วมงานด้วย  ทุกตัวก็พากันขำกลิ้ง

55 ท่านจะทำอย่างนั้นได้อย่างไรละพ่อเฒ่า  ท่านแก่ก็แก่  เดินก็ช้า แถมยังมาอยู่ที่ขอบชายแดน  งานเลี้ยงจะจัดขึ้นในอีกสองอาทิตย์นี้แล้ว  กว่าท่านจะเดินทางไปถึงเมืองหลวง คงต้องใช้เวลาเป็นสิบๆ ปี”

พ่อเฒ่าเต่าได้ฟังดังนั้น ก็ตอบแต่เพียงว่า “ไม่เป็นไร ฉันจะทำ และฉันเชื่อว่าต้องไปทันแน่” พูดจบพ่อเฒ่าเต่าก็ออกเดินทาง ท่ามกลางเสียงเยาะเย้ยของเหล่าสัตว์ทั้งปวง

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน แต่ดูเหมือนเต่าชราจะไม่ใส่ใจเลย แถมยังเดินทางมุ่งหน้าเข้าเมืองหลวงต่อไป  เมื่อสัตว์ตัวใดถามพ่อเฒ่า  พ่อเฒ่าก็บอกเป้าหมายของตัวเองไป และทุกครั้งพ่อเฒ่าก็กลายเป็นตัวตลกไปทันที ใครๆ ก็บอกให้พ่อเฒ่าเลิกล้มความตั้งใจ เพราะมันเป็นไปไม่ได้ แต่พ่อเฒ่าก็ตอบเพียงว่า “ไม่เป็นไร ฉันจะทำ และฉันเชื่อว่าต้องไปทันแน่”

เวลายังคงเดินต่อไป ผ่านไปนานหลายปี พ่อเฒ่าเต่ายังคงเดินช้าๆ ตามภาษาเต่า  มุ่งหน้าไปเมืองหลวง แล้ววันหนึ่งเต่าชราก็สังเกตเห็นสัตว์ทั้งหลายพากันร้องไห้  พ่อเฒ่าเต่าถามว่าท่านทั้งหลายร้องไห้ในเรื่องอะไร  สัตว์เหล่านั้นก็ตอบว่า “ราชาสิงโตที่1. ไปสวรรค์แล้วในวันนี้” และก็ถามพ่อเฒ่าเต่าว่าท่านมาทำอะไรที่นี่  พอสัตว์เหล่านั้นรู้เข้า ก็ต่างพากันพูดให้เต่าชราล้มเลิกการเดินทางครั้งนี้ เพราะมันสายไปมากแล้ว แต่เต่าชรา ก็ตอบแต่เพียงว่า “ไม่เป็นไร ฉันจะทำ และฉันเชื่อว่าต้องไปทันแน่”

แล้วพ่อเฒ่าก็เดินทางต่อไป
เวลาผ่านไปพักใหญ่  ในที่สุดพ่อเฒ่าก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงจนได้

ดูเหมือนบรรยากาศความเศร้าจะหายไปแล้ว เพราะเมืองทั้งเมืองกำลังมีงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่อลังการ  พ่อเฒ่าจึงถามสัตว์ในเมืองว่า  ตอนนี้พวกเขากำลังเฉลิมฉลองงานอะไรกันอยู่หรือ  เหล่าสัตว์ในเมืองต่างพากันตอบว่า  “ตอนนี้พวกเรากำลังเฉลิมฉลองงานขึ้นครองราชย์ของราชาสิงโตที่2.”  แล้วต่างก็พาพ่อเฒ่าเต่าไปร่วมงานเฉลิมฉลองอย่างมีความสุข”

ในที่สุดพ่อเฒ่าเต่าก็ได้ร่วมงานเฉลิมฉลองสมใจอย่างเหลือเชื่อ

ครั้งแรกที่ผมได้อ่าน ก็งงๆ เพราะภาษาที่แปลออกมาใช้คำยาวจนงง  แต่ก็เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องอะไร ในตอนนั้นผมว่าพ่อเฒ่าเต่านี่หัวแข็งชะมัด  ที่ประสบความสำเร็จได้นี่เพราะโชคช่วยแท้ๆ ผมยังคิดว่าถ้ามิฆาเอล เอ็นเด้ อยากจะบอกว่า “คนเราทำอะไรถ้าไม่ท้อไม่ถอยต้องสำเร็จแน่”  ก็น่าจะแต่งอีกแบบหนึ่งสิน้า... ทำไมต้องแต่งให้ความสำเร็จดูเหมือนปาฏิหารย์แบบนี้  

โง่ชะมัดเลยครับในตอนนั้น  มิฆาเอล เอ็นเด้เค้าเป็นนักเขียนระดับโลก ความคิดเค้าจะตื้นเขินกว่าเด็กมหาลัยได้อย่างไรครับ

พอผมเรียนจบออกมา  ได้ออกมาสู่โลกจริงๆ ต้องพบต้องเจอเรื่องราวมากมาย และการศึกษาประสบการณ์ชีวิตของคนที่ประสบความสำเร็จ ทั้งจากการอ่าน และการพูดคุยกับตัวจริงๆ  มาถึงตอนนี้ผมเข้าใจในสิ่งที่มิฆาเอล เอ็นเด้ อยากจะบอกไว้ในนิทานเรื่องพ่อเฒ่าเต่าแล้ว

“ความสำเร็จที่พ่อเฒ่าได้รับ ไม่ใช่เพราะโชคช่วย  แต่เป็นเพราะหัวใจที่ยิ่งใหญ่ของพ่อเฒ่าเต่าที่ไม่ยอมแพ้  ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา  ไม่ยอมแพ้ต่อแรงเสียดทานทั้งหลาย 
หัวใจของพ่อเฒ่าเต่า เป็นหัวใจเดียวกันกับบุคคลตัวอย่างที่ผมศึกษาประวัติชีวิตของพวกเขา
พวกเขาทุกคนมีหัวใจของนักสู้ชีวิตที่ไม่ยอมแพ้”

คุณว่าตอนที่สองพี่น้องตระกูลไรท์บอกให้โลกรู้ว่าจะสร้างเครื่องบิน ในขณะที่หัวหน้านาซ่า(NASA) ในยุคนั้นก็ประกาศออกโคมๆ ว่า “มนุษย์ไม่มีทางบินอยู่เหนือผืนโลก”  พวกเค้าก็กลายเป็พ่อเฒ่าเต่าของเราดีๆ นี่เอง

ตอนที่โธมัส อันวา เอดิสัน บอกให้โลกรู้ว่าเขากำลังประดิษฐ์สิ่งสิ่งหนึ่งที่จะทำให้เกิดความสว่างขึ้นในความมืด โดยไม่ต้องจุดไฟ  55 พ่อเฒ่าเต่าของเราอีกคนหนึ่งใช่ไหมครับ

ยังมีความคิดบ้าๆ มากมายของใครหลายคน อย่างเช่น  การส่งคนไปเหยียบดวงจันทร์(บ้าไหมครับ  อยู่ดีๆ ก็อยากส่งคนไปเหยียบดวงจันทร์บนฟ้า ในยุคที่เครื่องบินในกองประจำการยังใช้พัดกันเป็นส่วนใหญ่)  หรือ งานออกแบบแฟชั่นของมาดามโกโก แชนแนลที่ล้ำหน้ามากๆ ในยุคที่ผู้หญิงทั่วไปยังนิยมใส่ชุดกระโปรงสุ่มไก่  หรือตอนที่เด็กวัดไม่มีจะกินชื่อ สมคิด ลวางกุล บอกกับเพื่อนว่าโตขึ้นจะรวยมีเงินเป็นล้าน และอีกมากมายเหลือเกิน

ทุกคนต่างล้วนเป็นพ่อเฒ่าเต่า ตอนที่พวกเค้าประกาศเป้าหมายในชีวิตของตัวเอง

คนทั่วไป  พอพูดเป้าหมายออกไปแล้ว  เมื่อมีผู้หวังดีคอยแนะนำว่า “มันไม่มีทางเป็นไปได้” ก็จะเลิก น้อยคนนักที่จะทำได้อย่างพ่อเฒ่าเต่า ที่ยังคงมุ่งมั่นเดินต่อไป

คนส่วนหนึ่งที่มีความกล้า และแรงใจในระดับหนึ่ง  พอเจออย่างพ่อเฒ่าเต่าว่า “ราชาสิงโตที่1. เสียแล้ว”  ก็จะเลิก  เปรียบเหมือนกับการทำอะไรแล้วล้มมาแล้วสามครั้ง  ส่วนใหญ่เจอแบบนี้ก็เลิก  มีน้อยคนนักที่ล้มครั้งที่ร้อยแล้วยังลุกขึ้นเดินต่อ ดูอย่างคุณตาKFCสิครับล้มมากี่ร้อยครั้งแล้ว  ท่านก็ยังลุกต่อ

และสุดท้ายคนที่ถึงล้มมาแล้วร้อยครั้งหรือจะให้มากกว่านั้นก็ยังลุกได้  นั่นละครับคือ “คนที่ประสบความสำเร็จอย่างที่ตัวเองฝัน”

จะเศร้าไปทำไมครับ ถ้าต้นแครอทของเราโตช้าไม่เห็นผลเหมือนชาวบ้าน
ในเมื่อผลลัพธ์ที่ปลายทางนั้น  หอมหวานคุ้มค่าเหนือยกว่าเยอะ

มันเป็นเรื่องปกติครับ ในชีวิตคนเราที่จะเจอคำเยาะเย้ยในเวลาที่เราประกาศจะทำตามเสียงเรียกในใจ  คุณว่าคนที่เขาประสบความสำเร็จสร้างตัวกันจนรวยร้อยล้าน เขาจะไม่เคยเจออย่างคำเยาะเย้ย หรือคำแนะนำประเภทบั่นทอนจิตใจเหรอครับ  โดนกันทุกคนละครับ โดนกันไม่ใช่น้อยด้วย

และก็เป็นธรรมดาที่คุณต้องล้ม ต้องเจ็บ ต้องพลาด ถ้าคุณจะล้มหรือทำพลาดมาเป็นร้อยครั้งผมว่าก็ไม่แปลกหรอกครับ ดูอย่างการทดลองของเอดิสันสิครับ  เป็นพันๆครั้งเลยนะครับ

แต่มันจะแปลกถ้าคุณพลาดแล้ว ก็ยังดันทุรังใช้วิธีแบบเดิมๆ อยู่ได้
ความสำเร็จ มันเหมือนกับการเล่นเกมส์เกมหนึ่งละครับ  ถ้าคุณยังไม่เลิก  คุณก็มีโอกาสชนะ

แต่ถ้าเลิก ชีวิตมันก็เหมือนเดิม แถมเวลายังหมุนไปทุกวัน สิ่งต่างๆ ต่างก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ชีวิตแบบเดิมๆ ที่เคยอยู่ได้ในตอนนี้  อาจจะไม่แน่ในอนาคต 

ถ้าเป็นแบบนี้แล้วทำไมคุณถึงเลิกละครับ

ขอย้ำอีกครั้งว่า
“ถ้าคุณยังไม่เลิก  คุณก็มีโอกาสชนะ


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คุณมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร และอะไรคือเป้าหมายในชีวิตของคุณ ถ้าคุณอยากรู้... ต้องอ่านบทความนี้ครับ

วิธีแก้ความกลัว